3 คุณแม่คนเก่งเผยเคล็ดลับ เลี้ยงลูกอย่างไรให้มีพัฒนาการรอบด้าน ธรรมชาติของเด็กวัยแรกเกิดถึง 6 ขวบต้องการการดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดจากคุณพ่อคุณแม่ โดยเฉพาะการส่งเสริมพัฒนาการด้านสมอง ร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ คุณแม่ยุคใหม่ที่ต้องทำงานไปด้วยและดูแลลูกไปพร้อมกันจึงต้องเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกน้อยเพื่อส่งเสริมสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เหมือนอย่างที่ คุณเบญ - กัลยานี กมลวิศิษฎ์, คุณดีดี้ - ศชล เตลาน และ คุณตาล-กิตติยา อานันทนะสุวงศ์ เวิร์กกิ้งมัมทั้ง 3 คนใช้เป็นหลักในการเลี้ยงลูก เราจึงคุยกับคุณแม่คนเก่งเหล่านี้เพื่อให้พวกเธอช่วยแบ่งปันประสบการณ์การเลี้ยงดูลูกอย่างไรให้มีพัฒนาการสมวัย และดูแลโภชนาการที่ดีเพื่อให้ลูกน้อยเติบโตอย่างแข็งแรง สุขภาพดี เริ่มจาก คุณเบญ - กัลยานี คุณแม่คนเก่งของน้องวาเลนไทน์และน้องเมลานี กับบทบาทที่ท้าทายในการดูแลลูกสองคนซึ่งอยู่ในวัยที่กำลังซนและการบริหารธุรกิจกางเกงยีนส์แบรนด์ BJ Jeans ของเธอ จากชีวิตที่มีเรื่องงานมาเป็นอันดับแรก คุณเบญบอกว่าหลังจากมีลูก ลำดับทุกอย่างในชีวิตของเธอก็เปลี่ยนแปลงไปทันที เธอเล่าว่า "ลูกคือสิ่งเติมเต็มชีวิตค่ะ หลังจากมีลูกชีวิตก็เปลี่ยนไปมาก เรียงลำดับความสำคัญชีวิตใหม่เลย ลูกมาเป็นอันดับหนึ่ง งานอันดับสอง และชีวิตส่วนตัวเป็นสิ่งสุดท้าย ถึงจะมีเวลาส่วนตัวน้อยลงแต่กลับมีความสุขมากขึ้น" ส่วนหลักในการเลี้ยงลูกของคุณเบญนั้น เธอมองว่าเด็ก ๆ ควรจะได้เติบโตและเรียนรู้ด้วยตัวเอง และธรรมชาติของเด็กไม่สามารถคาดเดาทุกอย่างได้เป๊ะ ๆ ดังนั้น คุณเบญจึงค่อนข้างยืดหยุ่นในเรื่องวิธีการเลี้ยงลูกมากกว่าจะยึดตามหลักการเป๊ะ ๆ "ไม่มีหลักการเลี้ยงลูกตายตัว แต่จะเน้นสอนให้เขาทำอะไรด้วยตัวเอง ตอนนี้วาเลนไทน์ อายุ 2 ขวบ การที่เราส่งเขาไปเนิร์สเซอรี่ก็ทำให้เขาช่วยตัวเองได้เยอะ ที่สำคัญคือ ฝึกให้เขาสงบสติอารมณ์ด้วยตัวเอง ไม่ว่าเขาจะหกล้มหรือเป็นอะไร ถ้าไม่รุนแรงมากจะปล่อยให้เขาลุกขึ้นมาเอง จะไม่โวยวายเสียงดังเพราะเด็กร้องด้วยความตกใจของผู้ใหญ่ เราไม่อยากสอนเขาว่า ล้มแล้วต้องร้อง ถ้าล้มแล้วเราเข้าไปโอ๋ เขาจะชินกับการมีคนมาดูแลตลอดเวลา รอให้มีคนมาช่วย เราจะสอนให้เขาเข้มแข็งด้วยตัวเองต้องทำให้ได้จากที่บ้าน เรียนรู้ที่จะมีความอดทน" "มีงานวิจัยหลายชิ้นที่บอกว่า เด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปี เป็นวัยเรียนรู้ พ่อแม่สอนสิ่งดี ๆ ให้เขา เราเข้าใจ ดังนั้น ต้องพูดกับเขาให้เยอะ เป็นตัวอย่างที่ดีให้เขาเห็นบ่อย ๆ แล้วเขาจะเรียนรู้ได้เอง" คุณเบญเล่าถึงแนวทางการเลี้ยงลูกทั้งสองคน ในความยืดหยุ่นของวิธีการเลี้ยงลูก สิ่งหนึ่งที่คุณเบญให้ความสำคัญและจริงจังกับเรื่องนี้มากก็คือ เรื่องของโภชนาการ คุณแม่ลูกสองคนเก่งพูดถึงเรื่องนี้ว่า “ต้องให้ลูกกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และฝึกให้เขากินอาหารได้หลากหลาย ผัก ผลไม้ต้องกินเป็น” "โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกนมให้เขาดื่ม เราจะใส่ใจมากเป็นพิเศษ ต้องมีสารอาหารที่เหมาะสมต่อพัฒนาการของลูก เวลาเลือกซื้อนมให้ลูกก็จะต้องอ่านฉลากข้างกล่องว่ามีสารอาหารอะไรบ้าง เช่น โอเมก้า 3 6 9 DHA แคลเซียม วิตามิน ไอโอดีน โฟเลต และสารอาหารอื่นๆ เพราะอาหารที่เลือกให้ลูกต้องพัฒนาลูกเราครบทุกด้านทั้งสมอง ร่างกาย และเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง" ขณะที่คุณแม่คนเก่งอีกคน คุณดีดี้ – ศชล เจ้าของโรงแรม Simplitel ที่ภูเก็ต ก็พูดตรงกันว่า ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องของการจัดลำดับความสำคัญในชีวิต หลังจากมีน้องคิจิ ลูกชายวัยกำลังคุย แต่สิ่งหนึ่งที่ยังเหมือนเดิมสำหรับครอบครัวของเธอก็คือ การเดินทางท่องเที่ยวไปยังประเทศต่าง ๆ เป็นประจำ ซึ่งมีส่วนทำให้น้องคิจิได้เรียนรู้โลกภายนอกจากประสบการณ์ตรง
คุณแม่ยุคใหม่อย่างคุณดีดี้ให้ความสำคัญกับพัฒนาการในทุกด้าน เพราะมองว่าทุกเรื่องสำคัญหมดสำหรับเด็ก เธอเล่าถึงพัฒนาการของน้องคิจิในวัยนี้ว่า "เราให้ความสำคัญกับพัฒนาการทุกด้าน ด้านร่างกายก็สำคัญเพราะเขากำลังเจริญเติบโต อีกเรื่องที่เน้นคือ อีคิว ต้องดูแลใกล้ชิด บางเรื่องก็ต้องสอนเขา แต่โดยรวมเขาเป็นเด็กอารมณ์ดี ไม่ค่อยงอแง เข้ากับคนอื่นได้ง่าย เลยไม่ค่อยห่วงพัฒนาการด้านสังคมสักเท่าไร"
อีกเรื่องที่คุณดีดี้ใส่ใจเป็นพิเศษเพราะมองว่าร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงเป็นพื้นฐานของพัฒนาการทุกด้านก็คือ เรื่องโภชนาการของลูก "พยายามให้เขากินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และฝึกให้เขากินผักผลไม้ตั้งแต่เด็ก คิจิกินค่อนข้างยาก อะไรที่เขาไม่เคยกินเขาก็จะไม่ยอมลอง ต้องค่อย ๆ ฝึกไป เราเลยเน้นให้เขาดื่มนมเสริมเพื่อให้เขาได้รับสารอาหารครบ ซึ่งตอนนี้คิจิดื่มแต่นมยูเอชที ซึ่งสะดวกในการเดินทางเพราะเราเดินทางกันบ่อย" นอกจากนี้ คุณดีดี้ยังเสริมเรื่องการเลือกซื้อนมสำหรับลูกว่า "เวลาเลือกนมให้คิจิจะอ่านข้อมูลข้างกล่องตลอดว่ามีสารอาหารสูง ครบถ้วนสำหรับเด็กหรือไม่ พอมีลูกแล้ว กลายเป็นว่าจะซื้ออะไรก็อ่านรายละเอียดพวกนี้ก่อน เพราะสารอาหารสำหรับเด็กสำคัญต่อพัฒนาการของเขาในทุก ๆ ด้านจริง ๆ" ปิดท้ายที่ คุณตาล – กิตติยา Marketing Manager คนเก่งแห่งแบรนด์ Philips Avent คุณแม่ของน้องเวลาและน้องวาริณ ลูกสาวฝาแฝดวัย 3 ขวบ ถึงจะคลานตามกันมา แต่น้องเวลาและน้องวาริณมีคาแรกเตอร์ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด คุณตาลบอกว่าแฝดคนพี่จะเป็นเด็กอ่อนหวาน แคร์คนรอบข้างมาก โดยเฉพาะตัวคุณตาลเอง ในขณะที่แฝดคนน้องอย่างน้องวาริณจะมีความเป็นตัวของตัวเองสูง แต่คุณตาลมีแนวการเลี้ยงลูกทั้งคู่เหมือนกัน นั่นคือ ให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ผ่านนิทานและประสบการณ์จริง
"ตาลจะหากิจกรรมให้เขาได้ฝึกหัดทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง แล้วก็จะหยิบหัวข้อจากนิทานมาสอนด้วย อย่างอ่านนิทานเรื่องกุ๋งกิ๋งไปทะเลให้เขาฟัง พอบ้านเราจะไปเที่ยว ตาลก็จะกระตุ้นให้ลูก ๆ จัดกระเป๋าเอง ลูกก็จะเห่อจัดกระเป๋ากันเป็นเดือน ๆ จัดทุกวัน รื้อทุกวัน เขาก็จะถามว่า ‘คุณแม่คะ...หนูเอาของไปครบรึยังคะ’" "หรืออย่างช่วงปิดเทอม ตาลก็จะหากิจกรรมให้ลูกทำ เช่น cooking school เพราะตาลมองว่ามันไม่ใช่แค่การทำอาหารเป็น แต่ลูกจะได้เรื่องอื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการชั่ง ตวง วัด การใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก แล้วพอเขาได้ลองทำ เขาก็จะภูมิใจ อย่างวาริณเอาหมูแดงที่ทำเองกลับบ้านมาอวดแม่ แล้วบอกว่าไม่ต้องทำอาหารเผื่อนะ วาริณจะกินของที่ทำเอง” นอกจากจะให้ความสำคัญกับวิธีการเลี้ยงลูกแล้ว คุณตาลยังใส่ใจในการเลือกทุกอย่างที่เกี่ยวกับลูก ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ไปจนถึงเรื่องโภชนาการ ซึ่งเป็นเรื่องที่คุณตาลให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ "เรื่องโภชนาการก็สำคัญ ตาลจะดูแลให้เขาได้รับอาหารที่ดีและครบถ้วน ลูกจะได้มีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยบ่อย ยิ่งมีลูกแฝดเวลาป่วยก็จะป่วยพร้อมกัน เราเลยต้องใส่ใจให้มากเป็นพิเศษ เพราะอยากให้เขาได้ออกไปเล่น ออกไปเรียนรู้ให้เต็มที่ นอกจากการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่แล้ว ตาลใส่ใจในการเลือกนมที่มีสารอาหารที่ส่งเสริมทั้งด้านการพัฒนาสมอง ความแข็งแรงของร่างกาย และเสริมภูมิคุ้มกัน" ถึงแม้คุณแม่คนเก่งทั้งสามจะมีรายละเอียดในการเลี้ยงลูกและการส่งเสริมพัฒนาของลูกน้อยที่แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนให้ความสำคัญตรงกันก็คือ การเลือกโภชนาการที่ดีที่สุดสำหรับลูกรัก เพื่อให้เขาเติบโตอย่างแข็งแรง สมวัย และมีสุขภาพที่แข็งแรง ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก women.sanook.com |
Home >> |
3 คุณแม่คนเก่งเผยเคล็ดลับ เลี้ยงลูกอย่างไรให้มีพัฒนาการรอบด้าน |
|
|