|
เมื่อการสร้างความสุขให้ผู้อื่น คือหัวใจสู่ความสำเร็จ
ก่อนจะเข้าตอนที่ 3 ซึ่งจะพูดถึงการพัฒนาตนเองและองค์กรของซามูไรในยุคกลาง (ค.ศ. 1185 - 1603) ผู้เขียนขอแทรก “ตอนพิเศษ” นี้เข้ามา เพราะเพิ่งมีข่าวล่าสุดว่า บริษัทเล็ก ๆ จากดินแดนซามูไรบริษัทหนึ่งได้รับการชื่นชมจาก Bloomberg สำนักข่าวการเงินชื่อดังระดับโลก และเป็นข่าวที่ได้รับการจับตามองจากนักลงทุนทั่วโลก บริษัทที่พยายามทำความดี บริษัท Sun Frontier Fudousan บริษัทอสังหาริมทรัพย์เล็ก ๆ ในโตเกียวกำลังถูกจับตามอง เนื่องจากมูลค่าหุ้นพุ่งขึ้นถึง 11 เท่าภายในเวลา 5 ปีที่ผ่านมา และเป็นหุ้นที่ยังสามารถเติบโตได้ในปี 2016 ทั้งๆ ที่ตลาดหุ้นขณะนี้ กำลังหดตัวอย่างหนักทั้งตลาด เคล็ดลับของการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเช่นนี้คืออะไร? การตลาดที่ดี? การบริการที่เป็นเลิศ? เทคนิคทางการเงินแบบใหม่อย่างนั้นหรือ… ไม่ใช่เลย…. …โทโมอากิ โฮริกุจิ ผู้บริหารบริษัทตอบสั้น ๆ ว่า คือ “การทำความดี” ลูกศิษย์ “เทพแห่งการบริหาร” โฮริกุจิ เป็นลูกศิษย์ของสถาบันสอนผู้บริหารของท่านประธานคะสึโอะ อินาโมริ ผู้บริหารระดับพันล้านผู้ก่อตั้งเคียวเซรา ท่านประธานอินาโมริใช้ทั้งแนวคิดและหลักปฏิบัติในพุทธศาสนามาเป็นหลักสำคัญในการบริหารงาน บริหารคน ในห้องทำงาน โฮริกุจิแขวนภาพที่มีคำสอนอันเปี่ยมไปด้วยพุทธิปัญญาจากท่านประธานอินาโมริผู้เป็นครูของเขาไว้รอบห้อง บางภาพก็เขียนว่า “การทำให้พนักงานมีความสุขนั้นเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นยิ่งสำหรับองค์กร” บางภาพก็สอนให้เห็นแก่ผู้อื่นและมีจิตใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อยู่เสมอ แต่ทุกคำสอนและทุกภาพ ล้วนเชื่อมโยงไปสู่การทำความดี การ “ทำความดี” ในความหมายของทั้งโฮริกุจิและท่านประธานอินาโมรินั้น หมายถึงการสร้างธุรกิจที่ 1) รับผิดชอบต่อสังคมและช่วยเหลือสังคม และ 2) สามารถทำกำไรได้ด้วย ต้นกำเนิดไอเดียทำดีสร้างสุข วันหนึ่งขณะที่โฮริกุจิกำลังเดินเล่นอยู่ในแถบกินซ่า ย่านช้อปปิ้งหรูกลางกรุงโตเกียว เขามองเห็นนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนมากมาย ทันใดนั้นเขาก็เกิดไอเดียที่ตอบโจทย์ทั้งสองข้อ…ทั้งช่วยสังคมและทั้งทำกำไร เขาจะสร้างโรงแรมสำหรับรองรับนักท่องเที่ยวเหล่านั้น ! “เอเชียกำลังมั่งคั่งขึ้นและผู้คนต่างอยากท่องเที่ยว” โฮริกุจิกล่าว “ผมอยากทำให้นักท่องเที่ยวเหล่านั้นมีความสุขครับ ตอนนี้โตเกียวเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจก็จริง แต่มันกำลังเปลี่ยนเป็นแหล่งท่องเที่ยว ดังนั้น โตเกียวจึงจำต้องมีโรงแรมเพิ่มขึ้นครับ” ความช่างสังเกตนำไปสู่การเห็นโอกาส ความช่างสังเกตของโฮริกุจิสอดคล้องกับสถิติการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว ในปี 2015 ญี่ปุ่นมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติถึงเกือบ 20 ล้านคน เมื่อเทียบกับจำนวนเพียง 8.4 ล้านคนในปี 2012 และใน 20 ล้านคนนั้นเป็นนักท่องเที่ยวจีนถึง 5 ล้านคน โฮริกุจิวางแผนที่จะสร้างโรงแรมเพิ่มในจุดต่าง ๆ เป็นจำนวน 4,000 ห้อง โดยจะต้องใช้เงินทุนถึง 6 หมื่นล้านเยน (ราว 2 หมื่นล้านบาท) ซึ่งเป็นเงินจำนวนไม่น้อย เขาจึงชวนบริษัทแม่ของ Spring Airlines ซึ่งเป็นสายการบินต้นทุนต่ำที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีนเข้าร่วมทุนด้วย การเจรจาเพื่อร่วมทุนกับจีนเป็นไปอย่างราบรื่น โฮริกุจิบอกว่าองค์กรทั้งสองต่างมีจุดยืนที่เหมือนกัน นั่นก็คือ ต่างต้องการมอบความสุขให้กับผู้คน ตัวอย่างนโยบายการ “มอบความสุขให้กับนักท่องเที่ยว” มี 1. การเพิ่มลิฟท์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเป็นกลุ่ม ทำให้นักท่องเที่ยวไม่ต้องเสียเวลารอลิฟท์ 2. ขยายขนาดร้านอาหารในโรงแรมใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่า เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์จำนวนมาก 3. สร้างลานจอดรถพิเศษสำหรับรถทัวร์ เพื่อให้นักท่องเที่ยวไม่ต้องเดินไกลเมื่อรถมาถึงบริเวณโรงแรม 4. เพิ่มจำนวนพนักงานต้อนรับชาวจีนอีก 4 - 5 คน บริษัทที่มุ่งสร้างความสุขให้พนักงาน นอกจากสร้างความสุขให้นักท่องเที่ยวแล้ว โฮริกุจิยังมุ่งสร้างความสุขให้กับพนักงานด้วย สำหรับโฮริกุจินั้น คำว่า “ความสุข” หมายถึง การทุ่มเทตนเองทำงานอย่างเต็มที่ไม่ว่างานนั้นจะเป็นงานอะไร เขาคอยสนับสนุนให้พนักงานได้พัฒนาตนเองขึ้นไปจนเต็มศักยภาพของแต่ละคนอย่างเป็นรูปธรรม โดยโฮริกุจิได้ทำ 3 สิ่งต่อไปนี้เพื่อพนักงาน 1. เขียนรายงานจากประธานบริษัทให้พนักงานทุกคนได้อ่านทุกเช้าวันจันทร์ โดยโฮริกุจิจะเขียนด้วยตนเอง ความยาวประมาณ 3 หน้ากระดาษ A4 และได้ทำติดต่อกันไม่เคยขาดมาตั้งแต่เดือนกันยายนปี 1997 แล้ว 2. การรวบรวมปรัชญาในการทำงานพิมพ์เป็นเล่มแจกพนักงาน เนื้อหารวบรวมมาจากรายงานที่โฮริกุจิเขียนติดต่อกันมาถึง 9 ปี 3. การจัดงานกีฬาภายในบริษัท ไม่ได้แข่งไปเพื่อผลแพ้ชนะแต่เพื่อสร้างความสามัคคีในหมู่พนักงาน ทั้ง 3 สิ่งนี้เป็นไปเพื่อให้พนักงานคิดเป็น มีจิตใจที่ดี คิดจะทำสิ่งดี ๆ เพื่อผู้อื่น และเพื่อความร่วมมือร่วมใจกันเป็นหนึ่งเดียวทั้งบริษัท ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่ “ความสุข” ของพนักงานทุก ๆ คนนั่นเอง เพราะคนเราจะมีความสุขทันทีที่ได้คิด พูด และ ทำ เพื่อผู้อื่น
โฮริกุจิบอกว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ การคอยฝึกให้พนักงานสามารถทำงานร่วมกันได้ดี โฮริกุจิให้บรรดาเจ้าหน้าที่โรงแรมทุกคนผลัดกันทำความสะอาดห้องน้ำเอง โดยเขาเองก็ร่วมทำความสะอาดห้องน้ำของโรงแรมด้วยเพื่อตอกย้ำว่าเขาให้ความสำคัญของ teamwork ขนาดไหน
“เป้าหมายสูงสุดของบริษัทเราคือ การทำให้พนักงานมีความสุขครับ” โฮริกุจิกล่าว “ถัดจากนั้นคือการทำให้บรรดาคู่ค้าของเรา (supplier) มีความสุข จากนั้นก็คือทำให้ลูกค้ามีความสุข ทำให้สังคมมีความสุข และในที่สุดทำให้ผู้ถือหุ้นมีความสุขครับ ผมจะกล่าวอย่างนี้เสมอในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีของบริษัทเรา” การให้ความสำคัญกับความสุขของพนักงานและการมุ่งมั่นมอบสิ่งที่มีคุณค่าให้กับสังคมนั้นส่งผลทางอ้อมถึงบรรดาผู้ถือหุ้นด้วย อัตราตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity) ของ Sun Frontier สูงถึง 31% ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่สูงสุดใน 9 ปีที่ผ่านมา และสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของดัชนีตลาดหุ้นโตเกียว (Topix) ถึง 4 เท่า ชนชาติที่ใส่ใจความอยู่เย็นเป็นสุขของลูกน้องมากว่า 800 ปี ในญี่ปุ่น การมุ่งมั่นดูแลให้ผู้บังคับบัญชามีความสุขนั้นสามารถนับย้อนไปได้ถึง 800 กว่าปีที่แล้วเมื่อบรรดาหัวหน้าตระกูลใหญ่ของซามูไรญี่ปุ่นในยุคกลางต่างลุกขึ้นมาเขียนบันทึกคำสอนไว้สั่งสอนลูกหลานในตระกูลถึงวิธีปกครองดูแลลูกน้องด้วยความเมตตา ใส่ใจ และให้เกียรติ รายละเอียดจะเป็นอย่างไรบ้างเชิญติดตามได้ในตอนต่อ ๆ ไปของซีรี่ส์ย่อย “เรียนรู้จากซามูไร” สิ่งที่เราเรียนรู้จากซามูไร 1. หลักปฏิบัติของพุทธศาสนาเรื่อง “การให้” และ “ความเมตตาปรารถนาดีต่อผู้อื่น” ช่วยส่งเสริมการดำเนินธุรกิจและการบริหารองค์กรให้ประสบความสำเร็จทางการเงินได้ 2. ผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงของญี่ปุ่นเห็นว่าการทำให้พนักงานมีความสุขเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นยิ่งสำหรับองค์กร 3. ผู้บริหารญี่ปุ่นฝึกให้พนักงานคิดเป็น มีจิตใจดี คิดจะทำสิ่งดี ๆ เพื่อผู้อื่น ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่ “ความสุข” ของพนักงานทุก ๆ คนนั่นเอง 4. ไม่มี “งานใดต่ำ” ถ้า “ทำด้วยจิตใจสูง” 5. ผู้บริหารจำเป็นต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับลูกน้อง และลงมือปฏิบัติงานจริงให้ดูเป็นตัวอย่าง 6. เมื่อเรามีความมุ่งมั่นที่จะ “มอบความสุข” ให้กับผู้อื่นจริง ๆ เราจะเกิดความคิดสร้างสรรค์ที่จะทำสิ่งนั้น ๆ ให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมได้ 7. สิ่งสำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนองค์กรให้ประสบความสำเร็จคือความร่วมมือร่วมใจของพนักงานทุก ๆ คน บทความนี้เขียนร่วมโดย คุณเกตุวดี Marumura เชิญติดตามเรื่องราวดี ๆ และสร้างแรงบันดาลใจเกี่ยวกับญี่ปุ่นอื่น ๆ ได้ที่เพจ Japan Gossip by เกตุวดี Marumura ท่านผู้อ่านที่สนใจสามารถอ่านการบริหารธุรกิจด้วยจิตใจที่นึกถึงผู้อื่นและสังคมอยู่เสมอได้ในหนังสือที่ท่านประธานอินาโมริเขียนไว้สองเล่ม คือ “ช้าให้ชนะ” และ “ถอยก็ตาย วิกฤติยังไงก็ต้องสู้” ถ้าไม่มีเวลาอ่านทั้งเล่มก็สามารถอ่านบทรีวิวสรุปจากคอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” ได้ (คลิก ที่นี่ สำหรับเล่ม “ช้าให้ชนะ” และ ที่นี่ สำหรับเล่ม “ถอยก็ตาย วิกฤติยังไงก็ต้องสู้”)
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก www.doctor-nash.com |
||||||
| Home >> | ||||||
 |
||||||||
 |
 |
|||||||
      |
เมื่อการสร้างความสุขให้ผู้อื่น คือหัวใจสู่ความสำเร็จ |
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||
